10505 จำนวนผู้เข้าชม |
คนที่รู้และสามารถทำนายอนาคตได้ย่อมได้เปรียบผู้อื่น นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะมีความมั่นคงด้านธุรกิจในอนาคตย่อมมากกว่าคนอื่น ส่วนคนที่ล้าหลังก็จะตกเป็นคนที่เสียผลประโยชน์ ซึ่งเจ้าของธุรกิจหลายท่านเรียนรู้การทำนายอนาคตนี้ผ่าน “เมกะเทรนด์"
เมกะเทรนด์คืออะไร? เมกะเทรนด์เป็นข้อมูลเชิงสถิติหากนำไปใช้สร้างกราฟ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มต่างๆ จะสามารถทำนายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตได้ ซึ่งข้อมูลเชิงสถิติเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับผู้คนระดับประเทศหรือระดับโลก ก็จะได้แนวโน้มสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แล้วมีผลต่อชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่บนโลก ซึ่ง 1 ในเมกะเทรนด์ที่ #CSATalk อยากนำข้อมูลมาแบ่งปันก็คือ “Healthy Living”
“Healthy Living” เป็นมาตรฐานการใช้ชีวิตที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีและมีความสมดุลทั้งกายและใจ ช่วยลดความเครียด และมองหาสินค้าและบริการที่ช่วยได้ ซึ่งเป็น 1 ในเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง Healthy Living เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง ซึ่งสินค้าและบริการจะต้องล้อไปกับกระแสเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่นโค้ก(Coca Cola) ที่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่สลัดคราบของเครื่องดื่มทำลายสุขภาพทิ้งไป โดยผลิตโค้กสูตรใหม่ที่ใช้ความหวานจากหญ้าหวานมาเป็นส่วนผสม ไม่ใช่สารเคมีแบบเดิมๆ ตอบโจทย์เทรนด์ไปเต็มๆ แบบไม่ขัดแย้งกับกระแสใหม่
อีกหนึ่งตัวอย่างจากเนเชอร์ลีค(Natulique) แบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมมาจากธรรมชาติกว่า 95 – 100% ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติและการผลิตและการเก็บเกี่ยวต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ได้ใจซาลอนหรือร้านเสริมสวยไปเต็ม ๆ
หรือการยกระดับการพักผ่อนให้คนเดินทาง โดยให้สนามบินใหญ่ๆ หลายแห่งมีพื้นที่สำหรับโยคะ อาทิ สนามบิน ซานฟรานซิสโก ชิคาโก ดัลลาส ลอนดอน ฮ่องกง ในไม่ช้าจะขยายไปสู่สนามบินหลายแห่งทั่วโลก
San Francisco International Airport, California
Burlington International Airport, Vermont
ขยายวงกว้างไปสู่คอนเซบการพัฒนาประเทศและใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนให้สุขภาพดีและสมดุลทั้งกายใจ แบบ “Health Living” ขอยกตัวอย่าง ประเทศเดนมาร์กที่มีปรัชญาความสุขฉบับเดนมาร์ก คือ Hygge(ฮุกกะ) มีต้นกำเนิดมาจากคำ ภาษานอร์เวย์ แปลว่า การอยู่ดีมีสุข (ศิลปะในการสร้างความใกล้ชิด ผูกพัน ความรู้สึกผ่อนคลายในจิตวิญญาณ การหาความสุขจากสิ่งรอบตัวในปัจจุบันหรือง่ายๆ ก็คือ ความสุข นั่นเอง) จน UN ยกให้เดนมาร์กเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกอันดับ 3
นอกจากนั้นยังมาพร้อมเทรนด์รักษ์โลก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและรักธรรมชาติ(Green and Nature) เป็นกระแสที่เพิ่มขึ้นมากจาก 10 ปีที่ผ่านมา เพราะมนุษย์เมื่อยืนอยู่บนจุดสูงสุดก็เริ่มใส่ใจโลก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ อยากให้โลกน่าอยู่ขึ้นมากกว่าในยุคที่พวกเขาเติบโต ยกตัวอย่างเมืองเดนเวอร์ในรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกหนึ่งเมืองที่เทรนด์ Healthy Living มาแรงสุด ๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็น Key ของ Healthy living อยู่ทุกที่
เช่นเดียวกับในไทยกระแส Healthy Living เริ่มเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นจุดที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าเพราะเป็นแบรนด์รักษ์โลก โดยราคายังเป็นตัวพลิกเกมสำหรับตลาดในไทย แต่หากมีแบรนด์สองแบรนด์มาแข่งกันในราคาเท่ากัน เช่น การล่องเรือ แบรนด์ที่บอกตัวเองว่าเป็นเรือสำราญรักษ์โลกจะถูกเลือกใช้บริการถึง 90%
ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดของแบรนด์ที่ทำเพื่อโลกแล้วธุรกิจเติบโต คือ ดิสโก้ หรือไนท์คลับชื่อ คลับวัตต์ (Club WATT) ในฮอลแลนด์ เจ้าของอิงกับกระแสกรีน จนหันไปคิดค้นฟลอร์เต้นรำ ที่ยิ่งเต้นมากเท่าไหร่ก็มีส่วนช่วยผลิตกระแสไฟฟ้ามาใช้ในร้านมากขึ้นเท่านั้น ลูกค้าที่มาเต้นจึงรู้สึกสนุกและเต็มใจเข้ามาใช้บริการอย่างล้นหลาม เจ้าของร้านยอมลงทุนเพื่อหวังขยายธุรกิจไปสู่การขายเทคโนโลยีฟลอร์เต้นรำกำเนิดกระแสไฟฟ้าไปให้กับไนท์คลับอื่นๆ ที่ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของเทคโนโลยีขยายธุรกิจนี้ไปทั่วโลก
Club Watt Rotterdam • Energy Floors
อีกหนึ่งตัวอย่างของกาแฟออร์แกนิคที่มีพันธุ์เมล็ดกาแฟมาจากธรรมชาติก็ดึงความสนใจให้คนรักกาแฟมาลิ้มรสสูดกลิ่นกาแฟไร้สาร รถเมล์มีสวนข้างบนหลังคา เป็นตัวอย่างดี ๆ ที่หยิบเอากระแสธรรมชาติมาใกล้ชิดกับคน
หากสิ่งเหล่านี้มาจากตัวตนของแบรนด์ หากคิดถึงแก่นแท้สินค้าก็จะเป็นผู้นำ(Leader) มากกว่าผู้ตาม(Follower) สำหรับธุรกิจต่าง ๆ อาจจะต้องปรับตัว สร้างแรงบันดาลใจกระตุ้นให้พนักงานคิดนอกรอบ ออกจากกรอบการทำงานแบบเดิมๆ โลกเดิมๆ แสวงหาแนวคิดและประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้กับธุรกิจค่ะ